ที่ประชุม ครม.อนุมัติเจรจากู้เงินจากสถาบันการเงิน และองค์กรระหว่างประเทศ 2.7 แสนล้านบาท ตามข้อเสนอกระทรวงการคลัง “กรณ์” อ้าง จำเป็นรองรับวิกฤต ค้ำดุลเศรษฐกิจประเทศ “บินไทย” จ่อกู้รายแรก ช่วย รสก.เน่า
วันนี้ (3 ก.พ.) นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง แถลงภายหลังการประชุมว่า ครม.เห็นชอบให้กระทรวงการคลัง เจรจากู้เงินจากสถาบันการเงินและองค์กรระหว่างประเทศ 3 แหล่ง คือธนาคารโลก ธนาคารพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) และองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น หรือ ไจก้า วงเงิน 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 70,000 ล้านบาท เพื่อนำมาฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ โดยมีต้นทุนอยู่ที่ 2.38-3.70% ต่อปี
ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะนำเงินกู้จากสถาบันการเงินและองค์กรต่างประเทศจำนวน 70,000 ล้านบาท มาใช้ใน 4 โครงการ คือ เพิ่มทุนให้แก่สถาบันการเงินของรัฐเพื่อนำไปขยายสินเชื่อตามนโยบายของรัฐบาล , ลงทุนในโครงการภาครัฐทั้งขนาดกลางและขนาดเล็ก เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนและสร้างการจ้างงานในระยะสั้นไม่เกิน 15 เดือน (มี.ค.52-พ.ค.53), ลงทุนในโครงการเมกะโปรเจกต์เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านเศรษฐกิจและสังคม เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและผลิตภาพ มีเวลาดำเนินการไม่เกิน 36 เดือน (มี.ค. 52-ก.พ.55) และสนับสนุนโครงการ แผนงานและกิจกรรมตามนโยบายของรัฐบาล
“เรามีความจำเป็นที่จะต้องวางแผนเพื่อรองรับวิกฤตเศรษฐกิจ เพราะ ณ เวลานี้ รัฐบาลมีความจำเป็นใช้งบขาดดุล เพื่อนำเงินมาค้ำดุลเศรษฐกิจ” รมว.คลัง กล่าว
นายกรณ์ กล่าวต่อว่า ครม.เห็นชอบให้กระทรวงการคลัง เจรจาจัดหาเงินกู้ในลักษณะช็อตเทิร์ม ฟาซิลิตี้ (Short term facility) อีกไม่เกิน 2 แสนล้านบาท ระยะเวลา 3 ปี โดยมีแหล่งเงินจากธนาคารพาณิชย์ที่ประกอบกิจการในประเทศไทย และสถาบันการเงินเฉพาะกิจ เพื่อให้รัฐวิสาหกิจและสถาบันการเงินภาครัฐสามารถกู้เงินในประเทศระยะสั้น ได้โดยตรง ซึ่งหนึ่งในนั้น น่าจะมีบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) อยู่ด้วย ซึ่งใน 1-2 สัปดาห์นี้ จะมีการสรุปผลรายละเอียดมายังตน
ทั้งนี้ เป็นการเพิ่มความยืดหยุ่นในการบริหารจัดการ และยังเป็นเครื่องมือในการจัดสรรการกู้เงินของภาครัฐไม่ให้เกิดภาวะกระจุก ตัวในช่วงใดช่วงหนึ่งด้วย ถือเป็นวงเงินสำรองกู้เงินและให้รัฐวิสาหกิจมีทางเลือกในการกู้เงิน โดยกระทรวงการคลังจะค้ำประกันวงเงินแบบเต็มจำนวนหรือแบบบางส่วน เพื่อลดสัดส่วนของการค้ำประกัน เพื่อให้ภาระการค้ำประกันอยู่ในกรอบเพดานในแต่ละปี ที่กำหนดไว้เป็นสกุลเงินบาทไม่เกิน 20% ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี โดยมีอายุเงินกู้ระยะไม่เกิน 18 เดือน
นายกรณ์ กล่าวว่า รัฐบาลได้เตรียมเพิ่มทุนให้ธนาคารเฉพาะกิจของรัฐอีก 3 แห่ง ได้แก่ ธนาคารเพื่อการนำเข้าและส่งออกแห่งประเทศไทย (Exim Bank) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (ธพว.) และบรรษัทบริหารสินทรัพย์ขนาดกลางและขนาดย่อม (บสย.) โดยวงเงินเพิ่มทุนดังกล่าวกระทรวงการคลังจะดึงมาจากเงินกู้ที่จะขอกู้จาก ธนาคารโลก ADB และ JICA
ทั้งนี้ การใช้เงินจากแหล่งเงินกู้นั้น จะนำมาใช้ในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศในปี 2553 ที่จะเป็นงบขาดดุล ดังนั้น หนี้สาธารณะจำเป็นที่จะต้องปรับสูงขึ้น และปี 2553 ก็มีแนวโน้มที่สูงขึ้น และเชื่อว่า จะเป็นหนี้ที่สามารถแบกรับได้ด้วยรายได้ของประเทศ และสามารถชำระได้ เมื่อเศรษฐกิจดีรายได้ประเทศก็จะมาจากภาษีที่สูงขึ้น ขณะเดียวกันเร็วเกินไปที่จะบอกว่ามีโครงการใดที่มีประโยชน์ ซึ่งบางโครงการจะต้องเสนอขอความเห็นชอบจาก ครม.ก่อน
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9520000012602