วันพฤหัสบดีที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2552

ผ่าปฏิบัติการ 265 ป.ป.ท. ดูแล 4 ล้านคนปลอดทุจริต เล็งกำหนดตำแหน่ง-ยื่นบัญชีทรัพย์สิน

หน่วยงานใหม่ที่กำกับดูแลป้องกันและปราบปรามการทุจริต นั่นคือ หน้าที่ของ ป.ป.ท. ถ้าจะขยายความกันให้เข้าใจมากยิ่งขึ้น ก็จะรู้ว่า คณะกรรมป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ หรือ (ป.ป.ท.) คือใคร ( ป.ป.ท.) คือคณะกรรมป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ ซึ่งใช้อำนาจตามพระราชบัญญัติมาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปราม การทุจริต พ.ศ.2551 หน้าที่หลักของ ป.ป.ท. คือตรวจสอบและปราบปรามการทุจริต ตั้งแต่ ระดับ 8 ลงไปจนถึงระดับท้องถิ่น แต่หน่วยงานที่ตรวจสอบตั้งแต่ระดับ 8 ขึ้นไปจนถึงนายกรัฐมนตรี คือหน้าที่ของ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือที่เรียกกันว่า (ป.ป.ช.)

ซึ่งวันนี้ ป.ป.ท. มีอัตรากำลังเพียง 265 คน และ 1 เลขาธิการที่กำกับดูแล ป.ป.ท. นั่นก็คือ ธาริต เพ็งดิษฐ์ เลขาธิการคณะกรรมป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ แต่กำลังเพียงน้อยนิดนี้ ที่จะต้องสอดส่องดูแลพนักงานของรัฐกว่า 4 ล้านคนทั่วประเทศ ให้ปราศจากการคอร์รัปชั่น


สัมภาษณ์พิเศษจาก “ ธาริต เพ็งดิษฐ์ ” เลขาธิการคณะกรรมป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) อดีตอัยการ และรองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือ ดี.เอส.ไอ.( D.S.I. )


ป.ป.ท. มีกำลังเพียง 265 คน แต่ต้องกับกำดูแลและตรวจสอบหลาย ๆ องค์กรทั่วประเทศถึง 4 ล้านคน จะเพียงพอหรือไม่ ?

ผมไม่อยากมองว่าเป็นข้อจำกัด หากปริมาณงานมากจนรับไม่ไหวก็คงจะขอ ก.พ. อนุมัติเพิ่มอัตราไว้เพื่อรับมือ แต่ถ้าเราทำงานแบบบูรณาการได้ เราจะบูรณาการกับหน่วยงานในกระทรวงยุติธรรม

แต่กฎหมายฉบับนี้ได้เปิดความสำคัญคือ การสนธิกำลังหรือการบูรณาการ เช่น สมมุติว่าเกิดเรื่องร้องเรียน หรือจากการตรวจสอบพบการทุจริตที่ในพื้นที่หนึ่ง เราก็จะส่งกำลังไป 1 – 2 คน เพื่อเข้าไปประสานขอความร่วมมือกับหน่วยงานรับผิดชอบในพื้นที่ ซึ่งกฎหมายให้อำนาจไว้ชัดเจน เช่น อัยการ

จังหวัด ซึ่งคนของ ป.ป.ท. จะรับผิดชอบในการทำสำนวน เป็นเลขานุการ และทำงานภายใต้องคาพยพ กฎหมายให้ทำงานในลักษณะนี้เพื่อให้เกิดบูรณาการ จะเกิดสหวิชาชีพ และวิ่งต้นล้มคดีได้ยาก

นอกจากนี้ กฎหมายยังกำหนดบทบาทของตัวแทนประชาชน เข้ามาร่วมในการไต่สวนป้องกันการทุจริต และมีค่าตอบแทนที่เหมาะสม ซึ่งการทำงานของ ป.ป.ท. จะคล้ายกับ ป.ป.ช. เพราะต้องการให้ระบบการตรวจสอบ และพิจารณาโทษอยู่ในมาตรฐานเดียวกัน ซึ่ง ป.ป.ช. ทำงานในรูปแบบคณะกรรมการ โดยมีการไต่สวน ส่วน ป.ป.ท. ก็ทำงานในรูปแบบคณะกรรมการรวม 7 คน มีเลขาธิการเป็นเลขานุการ แต่กฎหมาย ป.ป.ท.เปิดกว้างมากกว่า โดยให้ดึงภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม และตั้งผู้เชี่ยวชาญ หรือที่ปรึกษา สนธิกำลังกันได้มากยิ่งขึ้น จุดนี้คือจุดที่เราใช้แก้ปัญหาจุดอ่อนของ ป.ป.ช. ซึ่งในอดีตกรรมการ ป.ป.ช. จะต้องลงไปไต่สวนเองซึ่งข้อนี้เองที่ทำไม่ไหว แต่กฎหมายฉบับนี้ได้ยึดหยุ่น

หน่วยงานใดบ้างที่อยู่ภายใต้กฎหมายของ ป.ป.ท. ?
องค์กรของภาครัฐ ทั้งข้าราชพลเรือน ทหาร ตำรวจ ครู และเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ทั้งหมดกว่า 40 แห่ง รวมถึงเจ้าหน้าที่ข้าราชองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น เช่น อบต. , อบจ. ที่มี 9,000 กว่าแห่งทั่วประเทศ รวมทั้งกองทุนหมู่บ้าน กองทุนช่วยเหลือฟื้นฟูเกษตรกร อีกทั้งหน่วยงานพิเศษ เช่น องค์การมหาชน

จำนวนคดีที่ได้รับโอนจาก ป.ป.ช. มีมากเท่าไร ?
คดีจะมี 2 ส่วนก็คือ คดีที่โอนมาจาก ป.ป.ช. ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการเตรียมการที่จะโอนมาจาก ป.ป.ช. คาดว่ามีจะคดีที่โอนมาจำนวนกว่า 4,000 คดี และคดีที่มีอยู่ในมือของ ป.ป.ท. ซึ่งมาจากการร้องเรียนและที่เราลงไปสอบสวนเองอีกประมาณ 1,000 - 2,000 คดีเศษ รวมทั้งหมดแล้วน่าจะประมาณ 5,000 - 6,000 คดี

ส่วนการจัดลำดับความสำคัญอย่างไร ที่คนน้อยแต่มีคดีเยอะ และเวลาจำกัด ?
เทคนิคก็คือ คดีที่จะขาดอายุความ อันนี้จะต้องมาอันดับแรกเลย ต่อมาก็จะเป็นเรื่องที่กระทบต่อสังคมหรือประชาชนอย่างมาก เช่น ข้าราชการทำสิ่งที่ผิดกฎหมาย เช่น การออกเอกสารสิทธิโดยมิชอบ ลักษณะนี้จะให้ความสำคัญเป็นอันดับต้น ๆ ในการทำคดี

ป.ป.ท. กำหนดให้เจ้าหน้ารัฐ ต้องเปิดเผยบัญชีมากน้อยแค่ไหน ?
เบื้องต้น ผมจะดูประโยชน์และความเหมาะสมของงานกับการให้คุณและโทษเป็นหลัก ซึ่งข้อนี้คงจะต้องระดมความคิดเห็น ต้องรอบคอบ คนมีส่วนได้เสียทุกภาคส่วนต้องช่วยกันทั้งประชาชน และให้สื่อมาช่วยคิดด้วยเพื่อให้เกิดความคิดที่ดีไว้เป็นแนวทางปฏิบัติต่อไป เช่น ตำรวจ เจ้าหน้ากรมสรรพกร ฯลฯ ใครทำหน้าที่อย่างไรควรกำหนดขอบเขตให้ชัดเจนขึ้น แม้จะเป็นระดับผู้น้อย ก็อาจจะต้องเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินด้วย และเสนอบอร์ดเพื่อพิจารณาต่อไป

ป.ป.ท. ไม่ใช่องค์กรอิสระ การเมืองอาจเข้ามาแทรกแซงได้ ?
โดยระบบแล้ว ในฐานะที่ผมเป็นเลขาธิการ ป.ป.ท. ผมสั่งยุติคดีไม่ได้ เพราะเราต้องทำงานในรูปของคณะกรรมการ เ ราออกแบบไว้เหมือนกับ ป.ป.ช. ซึ่งมีระบบไต่สวน และมีระบบการทำงานที่คล้ายคลึงกันมาก แต่มีความยึดหยุ่นมากกว่า และในฐานะที่ผมเป็นกรรมาธิการด้วยก็มีความคาดหวังสูงมากเพื่อที่จะทำงานให้ สัมฤทธิ์ผลตามกติกาที่ดี ซึ่งมีประชาชนได้มีส่วนร่วม

องค์กรท้องถิ่นทั่วประเทศ กว่า 9,000 กว่าแห่ง จะดูแลได้ทั่วถึงอย่างไร ?
สิ่งแรกที่ผมคิดคือ งานป้องกันจะต้องมาก่อน เราต้องทำความเข้าใจเพื่อช่วยกันปลุกพลังความคิด โดยเฉพาะผู้นำในองค์กรท้องถิ่น ซึ่งได้แก่ ฝ่ายทางการเมืองก็คือ นายก อบจ., นายก อบต. รวมถึงข้าราชการประจำก็คือ ปลัด อบต. และเทศบาลทั่วประเทศทั้ง 9,000 กว่าแห่ง เพื่อขอความร่วมมือกันและต้องช่วยกันกำกับดูแล และที่สำคัญมากอีกอย่างก็คือ เราต้องอาศัยสื่อสารมวลชนเพื่อช่วยในการเผยแพร่ข่าวสารและประชาสัมพันธ์ว่า “ การปราบปรามการทุจริต คือภารกิจของทุกภาคส่วนที่จะต้องร่วมมือกัน จึงจะสัมฤทธิผลได้ ” แต่วันนี้การป้องกันและปราบปรามการทุจริต ไม่ได้เกิดขึ้นจากหน่วยงานของ ป.ป.ท. เพียงอย่างเดียว แต่เป็นเพราะความร่วมมือของทุกภาคส่วนจึงสำเร็จได้

ในวาระการดำรงตำแหน่งของท่าน จะทำภารกิจได้มากน้อยเพียงใด ?
โดยครบเทอมแล้วก็ 4 ปี ต่อได้อีกปีต่อปี เต็มที่ก็ 5 – 6 ปี ผมเองก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะอยู่ได้นานแค่ไหน แต่ที่ผมคิดไว้ก็คือ ผมจะทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้ดีที่สุด

ข้อมูลเบื้องต้น กองทุนทองคำ ตัวอย่าง กองทุน K-Gold

.....กองทุนทองคำ ก็มีหลักการณ์เหมือนกองทุนอื่นทั่วๆไป ซึ่งผลตอบแทนจะมาจาก กำไรจากการซื้อ และขายหน่วยลงทุน อาจแตกต่างกันไปในเรื่องค่าธรรมเนียมค่ะ

สำหรับกองทุน K-Gold
….. กองทุนก็จะนำเงินที่เราลงทุน ไปลงทุนต่อในกองทุนทองคำที่ต่างประเทศอีกที โดย K-Gold จะนำเงินเราไปลงทุนในกองทุนที่สิงคโปร์ ชือว่า กองทุน SPDR gold ซึ่งเป็นกองทุนใหญ่ยักษ์ที่ลงทุนในทองคำแท่งจริงๆ ซึ่ง ต้องไปเทรดกันที่เมกา ไม่มีการเทรดที่สิงคโปร์ ดูเวปไซต์เค้าได้ที่ http://www.spdrgoldshares.com/sites/sg/ ซึ่งในเวปไซต์นี้ เราก็จะเห็นปริมาณการถือครองทองคำแท่งของกองทุน เป็นรายวัน (หน่วยเป็นตัน) รวมถึงราคา ราคาปิดตลาด ทั้งราคาปิดตลาดสิงคโปร์ และ ราคาปิดตลาด NewYork

ก่อนจะเล่าต่อไป ก็อยากให้รู้จักคำต่างๆที่เกี่ยวข้อง (ที่จำเป็น)ก่อน
1. หน่วยลงทุน: อาจอุปมาได้กับบาททองคำเวลาเราไปซื้อทองจริง แต่ค่าของบาททองคำ ไม่ได้เท่ากับค่าของหน่วยลงทุนนะคะ อย่าเพิ่งเข้าใจผิด
2. NAV (มูลค่าหน่วยลงทุน) : มูลค่าหน่วย นี่ก็เทียบได้กับราคาทองที่เราซื้อ แต่ตัวเลขเหมือนราคาหุ้นมากกว่า วันที่เปิดกองทุนคือ 10 บาทค่ะ (ราคา par) โดย NAV จะเคลื่อนไหวทุกวัน ตามราคาทองในตลาดโลก หากวันนี้ราคาขึ้น NAV ก็ขึ้นด้วย โดยธนาคารจะประกาศNAV (ของสองวันก่อนหน้า)ทุกวันในเวปไซต์ และสาขาธนาคาร

โดย NAV จะถูกคำนวณจากตัวแปรดังต่อไปนี้ค่ะ
-ราคา ทองในตลาดโลก ณ.เวลาปิดตลาดสิงคโปร์ (5.00 น. Singapore / หรือ 4.00 น. ที่เมืองไทย) อันนี้สำหรับ K-Gold เท่านั้นนะคะ (เปรียบเทียบกับ TMB Gold จะยึดราคาตลาดโลกเหมือนกัน ที่เวลาปิดตลาด New York ก็ประมาณกลางคืนบ้านเราค่ะ ไม่แน่ใจกี่โมง)
-อัตราแลกเปลี่ยน......... กองทุน K-Gold ได้ทำ Hedge ค่าเงินไว้ในระดับหนึ่ง แต่ไม่ 100% เพื่อป้องกันความผันผวนจากอัตราแลกเปลี่ยน ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงค่าเงินก็มีผลบ้างเหมือนกันไม่ใช่ไม่มีเลย(เปรียบ เทียบกับ TMB Gold ไม่ได้มีการทำป้องกันความเสี่ยงค่าเงินไว้เลย ดังนั้นราตาจะวิ่งตามตลาดโลกล้วนๆ) อย่างไรก็ตามผู้จัดการกองทุนได้ทำการป้องกันค่าเงินไว้ในหลายๆระดับราคา เราไม่มีทางรู้(เจ้าหน้าที่แบงค์ก็ไม่ทราบ) ว่าแต่ละวัน เค้าใช้อัตราแลกเปลี่ยนใดในการคำนวณ รวมทั้งสูตรคำนวณเป็นยังไง อันนี้เราก็ไม่รู้ได้อีกเช่นกัน

3. ค่าธรรมเนียมการซื้อขาย: เปรียบได้กับ ส่วนต่างราคาที่ร้านทองหักเราละกัน เนื่องจากในการซื้อขายของเรา กองทุนต้องมีค่าดำเนินการเหมือนกัน บริษัทหลักทรัพย์ หรือตัวแทน (แบงค์) ก็จะคิดค่าธรรมเนียมในการซื้อ หรือขาย ประมาณ 0.3% ทุกครั้งที่เราซื้อ - ขาย

ถ้าอยากซื้อ
-. เมื่อเราอยากลงทุนในกองทุนทองคำ เราก็ไปที่แบงค์ แล้วเปิดบัญชีกองทุน และบัญชีออมทรัพย์ ถ้าเรายังไม่มีบัญชีออมทรัพย์) บัญชีออมทรัพย์นี้จะใช้เป็นที่พักเงินเวลาเราสั่งซื้อ หรือสั่งขาย (จริงๆซื้อเป็นเงินสดก็ได้ โดยไปที่แบงค์เหมือนไปฝากเงิน แต่บอกเค้าว่าซื้อกองทุนแทน ... แต่เวลาขายแบงค์จะโอนตังค์เข้ามาที่บัญชีออมทรัพย์ของเราที่เปิด และลงทะเบียนเชื่อมไว้กับบัญชีกองทุน
- ทั้งนี้ ไม่มีค่าใช้จ่ายในการเปิดบัญชี แต่เปิดกองทุน K-Gold ต้องมีขึ้นต่ำ 10,000 บาท (เปรียบเที่ยบกับ TMB Gold เปิดขึ้นต่ำ 2000 บาท)
- เงินที่เราจ่าย จะแลกเป็นจำนวนหน่วยลงทุน
ตัวอย่าง สมมติเราจะลงทุน 10,000 บาท ในขณะที่ NAV ของวันนั้น = 9.5 บาท / ค่าธรรมเนียมซื้อ 3% (=30บาท)
ดังนั้น จ่ายตังค์แล้ว เราก็จะได้เป็นหน่วยลงทุนกลับมา = 10,000 /[9.5+(9.5x0.3%] = 1049.4736 หน่วย
-เรา ก็จะได้สมุดกองทุนกลับมา พร้อมหมายเลขกองทุนของเรา (ใช้หมายเลขเดียวกันนี้ หากสนใจซื้อกองทุนอื่นๆของเค้าอีก) แต่ยังไม่ทราบหน่วยลงทุน(อีก 2 วันค่อยไปอัพบุคดู ..ทำไม??...อ่านต่อด้านล่างค่ะ)
- ไม่ว่าเราจะไปซื้อตอนกี่โมงก็ตาม กองทุนก็จะใช้ราคาปิดตลาดสิงคโปร์ (4.00น. บ้านเรา) ในวันเดียวกับที่เราไปซื้อ ประกอบกับ อัตราแลกเปลี่ยนวันนั้นๆมาคำนวณมูลค่า NAV ของวันนั้นๆ (แต่เรายังไม่รู้ตัวเลข จนกระทั่งแบงค์จะประกาศในอีกสองวันถัดไป) หมายความว่า แต่ละวัน NAV จะมีราคาเดียวค่ะ
- ??ทำไมต้อง 2 วัน?? ก็เนื่องจาก หากซื้อวันนี้ พร่งนี้กองทุนถึงได้ราคาสรุปมาอีกทีจากเมืองนอก แล้วกองทุนต้องมาคำนวณตามตัวแปรที่บอก จึงได้ NAV ออกมาประกาศในวันทำการถัดไปอีก ก็เลยเป็น 2วัน

วิธีการซื้อ-ขาย ; ที่แบงค์ / ATM / Internet(วิธีนี้ต้องลงทะเบียนกับแบงค์ไว้ก่อน)
ใช้ ATM และ Internet ไม่มีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมค่ะ
อ้อ เปิดกองทุนตอนแรกต้องไปที่แบงค์นะคะ

เวลาซื้อ จันทร์-ศุกร์ ไม่เกิน 3.30 PM
เวลาขาย จันทร์-ศุกร์ ไม่เกิน 2.30 PMเว้นวันหยุดราชการ และวันหยุดกองทุน(เชคได้ในเวปกสิกร หรือจากหนังสือชี้ชวน)
ขั้นต่ำเปิดกองทุน 10000 บาท (ต่างกับ TMB ของเค้าแค่ 2000 เอง)
ขั้นต่ำซื้อขาย 10000บาท (ต่างกับ TMB ของเค้า 1บาทเองมั๊ง ถ้าจำไม่ผิด)

ข้อดี กองทุนทองคำ
-สะดวกไม่ต้อง ไปที่ร้านเหมาะสำหรับคนไม่มีเวลาอย่างคนทำงานออฟฟิศแบบเรา หรือบ้านไกลร้านทอง
-ซื้อ ขาย ง่าย ผ่าน ATM และ internet ก็ได้
-ราคาไม่โดนกั๊ก วางแผนง่าย (ไม่ต้องคิดเผื่อสมากั๊ก) ได้ราคาเต็มเม็ดเต็มหน่วย เอาไว้ถ้ามีเวลา จะมาให้ข้อมูลเพิ่มค่ะ
-ปลอดภัย ไม่ต้องหอบเงิน หอบทองไปมา น่าโดนปล้น
-มีเงิน 10000 ก็ซื้อได้ไม่ต้องเก็บตังค์ซื้อทีละแท่ง 5บาททอง จึงเฉลี่ยต้นทุนได้ดีกว่า

ข้อเสีย (เมื่อเทียบกับซื้อที่ร้าน)
-แต่ ละวันมีราคาเดียวเท่านั้น คือราคาปิดตลาด จะซื้อจะขายกี่โมงก็ต้องยึดราคาตอน3.30pm(ซื้อ)/หรือ 2.30(ขาย) ดังนั้นแนะนำให้จับตาดูกราฟตอนไกล้ๆปิดระบบแล้วค่อยตัดสินใจ ทำรายการค่ะ เผื่อระหว่างวันผันผวนมาก เช้าสูง เย็นต่ำ หากเราทำรายการตั้งแต่เช้า จากกำไร ก็อาจขาดทุนได้ เพราะราคาเปลี่ยนไปมา
-ไม่ทราบราคาทันที ต้องรอ1-2 วัน จึงประกาศ(เต่ก็ดูราคา spot realtime ได้ในเวป สามารถคาดการณ์แล้วสั่งซื้อขายได้ถ้าพอใจ)
-ขาย แล้วกว่าจะได้ตังค์ ตั้ง 5 วัน (ประกาศราคา 2 วัน + อีก 3วันขั้นตอนของธนาคาร) ดังนั้นต้องมีสภาพคล่องเผื่อสำหรับ ซื้อขาย ในอีก 5วันถัดไป ถ้าได้ราคาดี ดังนั้นจึงน่าจะเหมาะกับคนเล่นยาวค่ะ เล่นสั้นลำบากหน่อย โดยเฉพาะช่วงตลาดผันผวนที่ต้องเข้าไวออกไว
-ต้องคำนวณ NAV เอาเองคร่าวๆ ว่าขาดทุนหรือกำไร แล้วตัดสินใจ
-ซื้อขาย ได้แค่วันจันทร์-ศุกร์ ตามเวลาที่บอก แถมยังมีวันหยุดบางวันเพิ่มเติม (ประกาศให้ทราบตั้งแต่แรกเป็นปฏิทิน)

*ควรระวังเรื่องเวลาการซื้อขาย แต่ละช่องทางกำหนดเวลาปิดระบบไม่เหมือนกัน อย่าเผลอค่ะ
*ข้อแนะนำ ทำรายการทางเนตก็ดีเหมือนกันค่ะ ทำรายการทิ้งไว้ ยังไม่ถึงเวลาปิดระบบก็เข้าไปแก้ไขได้ เผื่อเปลี่ยนใจค่ะ
*ซื้อขายทางโทรศัพท์ เค้าให้กดจุดทศนิยม เราไม่ต้องกด . นะคะ ให้กดตัวเลขต่อกันไปเลย เช่น จะซื้อ 40000.50บาท ให้กด 4000050 ไปเลยค่ะ

….. ตอนนี้คิดออกเท่านี้ ไว้นึกอะไรได้เพิ่มจะมาเพิ่มเติมให้นะคะ ใครอยากเพิ่มเติม หรือแก้ไข อะไรในกระทู้นี้ ก็ยินดี และขอบคุณค่ะ……โชคดีค่ะ


เสริมด้วยข้อมูลดีๆ ง่ายๆ จากคุณ i-tim ค่ะ(ขอบคุณมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ )
การซื้อขาย K-Gold ถ้านั่งเล็งแนวทางกันชัดเจนแล้ว ก็มีช่องทางง่ายๆ ให้ซื้อขายกันสะดวกๆเลยค่ะ คือ

1. สาขาธนาคารกสิกรไทย
2. Call Center 02-888-8888
3. สมัคร K-Cyber Invest เพื่อทำการซื้อขายทางอินเตอร์เน็ต เข้า www.kasikornasset.com
4. ATM ของ KBank ก็ยังซื้อได้นะคะ
5. ยังนึกไม่ออก ไว้บอกทีหลัง

เรื่องการตรวจสอบ NAV หรือ Balance check ก็ง่ายๆ คือ
1.ใช้น้อง PUM (เครื่องปรับสมุดเงินฝาก) ที่ K-Lobby ได้เลย
2.เว็บ www.kasikornasset.com
3.หน้าหนังสือพิมพ์ธุรกิจทั่วไป เช่น กรุงเทพธุรกิจ (อ่านเจออยู่เล่มเดียว 555)

ง่ายและสบายแบบนี้ รับรองว่าถ้าเล็งแนวทางไหนไว้ ไม่พลาดแน่นอนค่ะ (ยกเว้นวันที่ระบบแบงค์ล่ม 555)

http://www.goldtraders.or.th/webboard/index.php?PHPSESSID=be539bbc4b05041581fa8d513ba09825&topic=6501.0

ปล. การลงทุนมีความเสี่ยงโปรดศึกษาให้ดีก่อนลงทุน

ทองคำกับกองทุนรวม

การลงทุนในทองคำสามารถทำได้ใน 3 รูปแบบด้วยกัน คือ
- การลงทุนในทองคำโดยตรง
- การลงทุนในหุ้นของบริษัทที่เป็นเหมืองทองคำ
- การลงทุนในทองคำผ่านรูปแบบของกองทุน
ซึ่งเป็นรูปแบบใหม่ล่าสุดของการลงทุนในทองคำซึ่งเพิ่งจะเกิดขึ้นมาบนโลกได้ ประมาณ 2 ปีเท่านั้น

แม้การลงทุนในทองคำอาจไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับคน ไทย แต่การลงทุนในทองคำผ่านรูปแบบของกองทุนรวมนั้น เพิ่งจะเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในเมืองไทย เกี่ยวกับเรื่องนี้ "โชติกา สวนานนท์" กรรมการผู้จัดการ บลจ.ทหารไทย ได้อธิบายให้ฟังในงานเสวนาเรื่อง "ทองคำกับกองทุนรวม" ที่จัดขึ้นโดยบลจ.ทหารไทย ให้ฟังว่า "กองทุนเปิดทหารไทย โกลด์ ฟันด์(TMB Gold Fund)" ที่จะเสนอขายครั้งแรกระหว่างวันที่ 23 พฤศจิกายน -1 ธันวาคม 2548 นี้ เป็นกองทุนรวมหน่วยลงทุนที่จะนำเงินทั้งหมด 100% ที่ได้จากการขายหน่วยลงทุนให้ผู้ลงทุนในประเทศไทย เพื่อไปซื้อหน่วยลงทุนของกองทุน StreetTRACKS Gold Trust ที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหุ้นนิวยอร์ก ทั้งนี้เงินลงทุนทั้งหมดของกองทุน StreetTRACKS Gold Trust ลงทุนอยู่ในทองคำแท่ง 99.99% ทั้งหมด โดยมีธนาคาร HSBC Bank USA, N.A.(HSBC) เป็นผู้เก็บรักษาทองคำของกองทุนไว้

" หน่วยลงทุนของกองทุนเปิดทหารไทย โกลด์ ฟันด์ จึงเป็นกระดาษที่มีทองคำแท่งอยู่ข้างหลังทั้งจำนวน 100% เป็นทางเลือกในการลงทุนในทองคำแท่งที่ใกล้ตัวที่สุด นอกจากนี้ผู้ลงทุนยังไม่ต้องห่วงเรื่องสภาพคล่องในการซื้อขายอีกด้วย เพราะกองทุน StreetTRACKS Gold Trust เป็นกองทุนทองคำที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 4,000 ล้านบาท ในขณะที่กองทุนเปิดทหารไทย โกลด์ ฟันด์ มีขนาดเพียง 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1,200 ล้านบาทเท่านั้น"

เนื่องจากกอง ทุนเปิดทหารไทย โกลด์ ฟันด์ นำเงินไปลงทุนในกองทุน StreetTRACKS Gold Trust ซึ่งลงทุนในทองคำแท่ง 100% ดังนั้น ผลตอบแทนของกองทุนจะเกาะไปกับราคาทองในตลาดโลก ผลตอบแทนของกองทุนจึงขึ้นกับ "ราคาทองคำในตลาดโลก" และ "ค่าเงินบาท" เป็น 2 ปัจจัยที่สำคัญ

ด้าน "อัลเบิร์ต แอล.เอช. เช็ง" กรรมการผู้อำนวยการสภาทองคำโลก หรือ เวิลด์ โกลด์ เคาน์ซิล มองแนวโน้มราคาทองคำโลกกำลังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของตลาดกระทิงได้เพียง 2-3 ปีเท่านั้น หลังจากที่ราคาทองคำอยู่ในช่วงตลาดหมีมานานกว่า 20 ปี และแนวโน้มราคาทองคำในตลาดโลกอีก 2-3 ปีข้างหน้า ยังเป็นบวกอยู่ ซึ่งเป็นผลจาก 2 ส่วนสำคัญ คือปริมาณความต้องการบริโภคทองคำในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเฉลี่ย เพิ่มขึ้นปีละ 3% ทั้งในส่วนของความต้องการทองคำในแง่ของเครื่องประดับ ,ความต้องการทองคำในอุตสาหกรรม รวมถึงความต้องการลงทุนในทองคำในรูปแบบต่างๆ จะเป็น 3 ปัจจัยที่ผลักดันให้ปริมาณความต้องการบริโภคทองคำในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นใน อนาคต

"ในขณะที่ซัพพลายในตลาดทองคำโลกทรงตัวและมีแนวโน้มที่จะลดลง เมื่อซัพพลายของทองคำมีน้อยกว่าปริมาณความต้องการบริโภค ย่อมจะส่งผลบวกต่อราคาทองคำให้มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นได้ ทั้งนี้หากดูปริมาณดีมานด์และซัพพลายของทองคำโลกในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาพบว่า เฉพาะความต้องการบริโภคทองคำในส่วนของเครื่องประดับอยู่ที่ 2,826 ตันต่อปี ในขณะที่ซัพพลายจากเหมืองทองคำอยู่ที่ 2,312 ตันต่อปีเท่านั้น ซึ่งไม่เพียงพอต่อความต้องการบริโภค จึงต้องมีซัพพลายจากส่วนอื่นเข้ามาเสริมคือการนำทองเก่ากลับมาหลอมใหม่และ การขายทองออกมาในตลาดทองคำโลกจากธนาคารกลางประเทศต่างๆ เพื่อให้ดีมานด์และซัพพลายมีความสมดุลกัน"

อัลเบิร์ต ยังกล่าวอีกว่า ดัชนีชี้วัดที่สะท้อนถึงแนวโน้มขาขึ้นของราคาทองคำยังดูได้จากสถิติความ สัมพันธ์ระหว่างตลาดดาวโจนส์กับราคาทองคำในตลาดโลกตั้งแต่ปี 2523-2542 หรือเกือบ 18 ปีที่ผ่านมา พบวงจรขึ้นลงของราคาทองกับดัชนีมีความสัมพันธ์ในทิศทางที่ตรงกันข้าม คือถ้าดาวโจนส์ลงราคาทองจะขึ้น แต่ถ้าดาวโจนส์ขึ้นทองจะลง ซึ่งปัจจุบันเป็นช่วงที่ราคาทองกำลังจะขึ้น นอกจากนี้ ตัวชี้วัดอีกตัวหนึ่งก็คือราคาทองคำในรูปสกุลเงินต่างๆ ทุกภูมิภาคทั่วโลกล่าสุด ราคาทองสกุลเงินต่างๆ เริ่มอยู่ในช่วงขาขึ้น นี่แสดงให้เห็นว่าสถานการณ์ด้านราคาทองคำขณะนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของตลาด ทองคำขาขึ้นซึ่งมีการวิเคราะห์กันว่าจะกินเวลานานพอสมควร

"ทำไมคนจึง ควรลงทุนในทองคำ อย่างแรกเลยเพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยง เพราะผลตอบแทนของทองคำมีความสัมพันธ์กับตราสารทางการเงินอื่นๆ น้อยมาก เช่น หุ้น ตราสารหนี้ ทั้งยังไม่มีความสัมพันธ์กับสินค้าอุปโภคบริโภค แต่จะมีความผันผวนตามอัตราแลกเปลี่ยน ดังนั้น การลงทุนในทองคำจึงเป็นอีกทางเลือกที่ช่วยเรื่องการกระจายความเสี่ยง และสร้างความมั่นคงให้กับพอร์ตการลงทุน นอกจากนี้ เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอัตราเงินเฟ้อ เป็นการรักษาอำนาจซื้อเอาไว้ และข้อสุดท้ายคือเป็นอีกรูปแบบหนึ่งของการสะสมความมั่งคั่ง"

นอก จากราคาทองคำในตลาดโลก อีกหนึ่งปัจจัยที่จะเป็นตัวกำหนดผลตอบแทนของทองคำ คือ ค่าเงินบาท เกี่ยวกับเรื่องนี้ "นวพร เรืองสกุล" อดีตเลขาธิการคณะกรรมการกองทุนบำเน็จบำนาญข้าราชการ(กบข.) อธิบายว่า ราคาหน่วยลงทุนของกองทุนเปิดทหารไทย โกลด์ ฟันด์ จะเพิ่มขึ้น ก็ต่อเมื่อราคาทองคำในตลาดโลกเพิ่มขึ้น หรือเงินบาทอ่อนค่าลง ถ้าราคาทองสูงขึ้นและเงินบาทอ่อนค่าลงผู้ลงทุนก็จะได้กำไรสองต่อเลย ส่วนค่าเงินบาทนั้นก็ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นสถานะของประเทศไทยเอง สถานะของประเทศอื่น หรือเงินเฟ้อ ในส่วนของอัตราเงินเฟ้อนั้นถ้าอัตราเงินเฟ้อเราสูงกว่าประเทศคู่ค้าค่าเงิน บาทก็จะอ่อนค่าลงเรื่อยๆ ถ้าเกิดเมื่อไรก็ตามที่เงินเฟ้อเราน้อยกว่าประเทศคู่ค้าโอกาสที่จะเห็นเงิน บาทแข็งค่าขึ้นก็มี

"ปัจจุบันเงินเฟ้อเราสูงกว่าอเมริกา เพราะฉะนั้น แนวโน้มของค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐก็มีแนวโน้มที่จะอ่อนค่าลง แต่ก็ไม่ได้เกิดขึ้นทันที จะมีช่วงเวลาของมัน แต่ก็ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยด้วยกัน แต่ถ้ามองจากเงินเฟ้อของประเทศไทยเทียบกับสหรัฐในปัจจุบันแล้ว เงินบาทมีแนวโน้มที่จะอ่อนค่ามากกว่าแข็งค่า"

จากข้อมูลข้างต้นจะพบ ว่า 2 ปัจจัยที่กำหนดผลตอบแทนจากการลงทุนในทองคำผ่านกองทุนเปิดทหารไทย โกลด์ ฟันด์ มีแนวโน้มเป็นบวก เพราะ "ราคาทองคำโลก" ก็มีแนวโน้มสูงขึ้น ในขณะที่ "ค่าเงินบาท" เอง ก็มีแนวโน้มที่จะอ่อนค่าลงมากกว่าที่จะแข็ง อย่างไรก็ตาม "วีระ ธีระภัทรานนท์" นักจัดรายการวิทยุจากรายการ "เงินทองต้องรู้" กลับมองในมุมที่ต่างออกไปว่า ราคาทองคำจะเคลื่อนไหวอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปัจจุบัน จะขึ้นก็ขึ้นไม่มาก จะลงไปก็ลงไม่มาก แต่จะทรงตัวในระดับนี้ต่อไป แต่จากนี้ไปสัก 2-3 ปี ราคาทองคำสามารถที่จะปรับตัวขึ้นไป 10% มีโอกาสเป็นไปได้ แม้ไม่มองทองคำในแง่ของการลงทุน แต่ผู้คนก็มีความจำเป็นต้องมีทองคำไว้ในพอร์ตการลงทุนของตัวเองด้วย 2 เหตุผลด้วยกัน

"เหตุผลแรกคือ เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองถูกผลกระทบจากค่าเงินบาททำลายอีกเหมือนเมื่อครั้ง ปี 2527 และ 2540 ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดขึ้นอีกเมื่อไร จึงควรจะต้องมีการเก็บทองเอาไว้ในพอร์ต เพื่อไม่ให้ผลตอบแทนจากการลงทุนผูกติดกับเศรษฐกิจในประเทศเพียงอย่างเดียว แต่มีการกระจายไปในต่างประเทศในระดับหนึ่ง และเหตุผลที่สองคือ หากคุณมีความจำเป็นต้องย้ายที่อยู่ การพกพาทองคำแท่งขึ้นเครื่องบินจำนวนมากๆ ก็ทำไม่ได้ แต่ถ้าคุณลงทุนในกองทุนทองคำก็จะสะดวกเวลาเดินทาง"

เชื่อว่ากองทุนทองคำ จะเชื่อมผู้ลงทุนเข้าสู่การลงทุนในตลาดทองโลกได้สะดวกและง่ายยิ่งขึ้น