วันพุธที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

รัฐออกแผนปฏิบัติการ : ไทยเข้มแข็ง 2555 กระตุ้นเศรษฐกิจรอบ 2

รัฐบาลจัดทำ "แผนปฏิบัติการ : ไทยเข้มแข็ง 2555" โครงการลงทุนภายใต้แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจ ระยะที่ 2 มูลค่าทั้งหมด 1,431,330 ล้าน คาดช่วยสร้างงานได้ประมาณ 1.6-2 ล้านคน

ที่ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แถลงว่า วิกฤตเศรษฐกิจการเงินโลก ได้ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบรุนแรงทำให้การผลิต การส่งออก และการใช้จ่ายของภาคเอกชนหดตัวมาก ซึ่งเป็นสถานการณ์เช่นเดียวกับประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก แต่สถานการณ์เศรษฐกิจไทยในปัจจุบันเริ่มที่จะมีสัญญาณของการมีเสถียรภาพและการฟื้นตัว ไม่อ่อนแอแต่ยังไม่แข็งแรง ที่เป็นเช่นนี้เพราะรัฐบาลมีมาตรการเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจที่รวดเร็วทันต่อสถานการณ์ เช่น มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ 1 อย่างไรก็ดี สถานการณ์ในอนาคตมีความไม่แน่นอนสูง เพราะขึ้นอยู่กับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ดังนั้น รัฐบาลในฐานะที่เป็นเครื่องยนต์เดียวที่จะขับเคลื่อนในขณะนี้ จึงจัดทำ “แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555” ซึ่งจะเป็นโครงการลงทุนภายใต้แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะที่ 2 เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและเพิ่มการจ้างงานอย่างต่อเนื่องผ่านการลงทุนของรัฐควบคู่การสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว โดยมีรายละเอียดสรุปได้ดังนี้


โครงการลงทุนภายใต้แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจ ระยะที่ 2
โครงการลงทุนภายใต้แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจ ระยะที่ 2 ที่ได้รับอนุมัติมีมูลค่าทั้งหมด 1,431,330 ล้านบาท เป็นการลงทุนระหว่างปี 2552-2555 คาดว่าจะช่วยสร้างงานได้ประมาณ 1.6-2 ล้านคน และช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้กับภาคเอกชนในระยะยาว เช่น
- โครงการขนส่ง/Logistic จำนวน 571,523 ล้านบาท จะช่วยลดต้นทุนการขนส่ง (Logistic Cost) จากปัจจุบันที่สูงถึงร้อยละ 19 ของ GDP
- โครงการด้านทรัพยากรน้ำและการเกษตร จำนวน 238,515 ล้านบาท จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตการเกษตรให้แก่เกษตรกร
- โครงการด้านการศึกษา จำนวน 137,975 ล้านบาท จะช่วยยกระดับคุณภาพการศึกษาและการเรียนรู้ของคนไทย
- โครงการสาธารณสุข จำนวน 99,399 ล้านบาท จะช่วยปฏิรูปคุณภาพระบบสาธารณสุขที่มีมาตรฐานสูงสำหรับคนไทย
- โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการท่องเที่ยว จำนวน 18,537 ล้านบาท จะช่วยเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยวโดยการปรับปรุงสภาพแวดล้อมและสิ่งอำนวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยวผลต่อระบบเศรษฐกิจ
-โครงการที่จะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจ และการจ้างงานได้ในทันที ได้แก่ โครงการลงทุนขนาดกลางและขนาดเล็กที่มีการลงทุนกระจายไปทั่วประเทศ และมีการเบิกจ่ายอย่างรวดเร็ว เช่น โครงการลงทุนด้านแหล่งน้ำและระบบชลประทานขนาดเล็ก โครงการก่อสร้างถนนในชนบท โครงการก่อสร้างโรงเรียน โครงการก่อสร้างสถานีอนามัยขนาดเล็กในชนบท
- โครงการที่มีผลกระทบในระยะปานกลาง ได้แก่ โครงการลงทุนขนาดกลางและใหญ่ ในด้านระบบ พลังงาน การสื่อสาร โครงการสาขาขนส่งมวลชนและระบบราง ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนในการขนส่ง และเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่ง การใช้พลังงานของประเทศ ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะปานกลางให้สามารถแข่งขันกับประเทศต่างๆ ในภูมิภาค
-โครงการที่มีผลกระทบในระยะยาว ได้แก่ โครงการลงทุนในด้านการศึกษาและทรัพยากรมนุษย์ ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ด้านเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ (Creative Economy) ด้านสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศน์ ซึ่งเป็นโครงการที่จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และคุณภาพชีวิตของประชาชนในระยะยาว โดยจะช่วยเพิ่มผลิตภาพของระบบเศรษฐกิจในภาพรวมในระยะยาว


ความพร้อมของการดำเนินงานและการลงทุน
รัฐบาลมีความพร้อมในการดำเนินโครงการลงทุนภายใต้แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจ ระยะที่ 2 ทันที เพราะได้นำเสนอพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. .... และพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ พ.ศ. …. ต่อคณะรัฐมนตรีเรียบร้อยแล้ว โดย พ.ร.ก. ดำเนินการทันที และ พ.ร.บ. เสนอเข้าสภาฯ ในส่วนโครงการที่ได้คัดเลือกมาก็มีความพร้อมที่จะดำเนินการได้ทันที สำหรับการจัดหาเงินเพื่อการดำเนินโครงการก็จะเป็นการระดมทุนจากตลาดในประเทศเป็นหลัก เนื่องจากสภาพคล่องในตลาดยังมีอีกมากและเพียงพอ ประกอบกับปัจจุบันรัฐบาลยังมีสถานะทางการคลังที่เข้มแข็ง ระดับหนี้สาธารณะยังอยู่ในระดับที่ไม่สูงมากนัก จึงยังสามารถกู้เงินมาใช้จ่ายในโครงการลงทุนได้ โดยไม่ส่งผลกระทบต่อฐานะทางการคลัง และสามารถบริหารจัดการหนี้สาธารณะอยู่ในกรอบความยั่งยืนทางการคลัง

ผลที่คาดว่าจะได้รับ แม้ว่าการหาเงินทุนสนับสนุนโครงการลงทุนเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจนั้น คาดว่าจะส่งผลให้หนี้สาธารณะของไทยปรับสูงขึ้นจากระดับต่ำที่ประมาณร้อยละ 40 ของ GDP ในปัจจุบัน ไปอยู่ที่สูงสุดประมาณร้อยละ 60 ของ GDP ในปี 2556 แต่ ผลตอบแทนที่คุ้มค่าจากโครงการลงทุนที่สร้างโอกาสการขยายตัวทางเศรษฐกิจและ เพิ่มศักยภาพการผลิตของประเทศจะส่งผลให้หนี้สาธารณะของประเทศเริ่มปรับตัวลด ลงตั้งแต่ปี 2557 จนคาดว่าจะลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 47 ของ GDP ในปี 2561 ซึ่งสะท้อนถึงความสามารถในการรักษาความยั่งยืนทางการคลังของประเทศ (Debt Sustainability) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมีความมั่นใจว่า การดำเนินการตามแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจดังกล่าว จะช่วยให้เศรษฐกิจของไทยเติบโตอย่างต่อเนื่อง ส่งเสริมให้มีการจ้างงานเพิ่มขึ้น ซึ่งเมื่อเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว ผลจากการกระตุ้นเศรษฐกิจจะส่งผลให้ประเทศไทยสามารถแข่งขันกับประเทศอื่นๆ ได้ ในระยะยาว ทั้งนี้ รัฐบาลได้ตระหนักว่า ได้เดินมาถูกทางแล้ว ซึ่งเป็นการดำเนินการที่ตรงเป้า โปร่งใส และรวดเร็ว ซึ่งสามารถดำเนินการได้ทันที โดยเม็ดเงินที่นำมาใช้จะเป็นไปอย่างรอบคอบ ตรวจสอบได้ ไม่สร้างภาระทางการคลังในระยะยาว และมีประสิทธิภาพเกิดขึ้นจริง


http://www.democrat.or.th/viewnews.asp?id_head=10144&id_main=62.141&p=0&ca=62&mt=175.92.185.153.221.238.50.193.234.60.12.231&st=172.102.168.190.167.250.47.206

การบริหารหนี้สาธารณะ

+กรอบความยั่งยืนทางการคลัง+
กระทรวงการคลังได้กำหนดกรอบความยั่งยืนทางการคลังในระยะปานกลาง (5-10 ปี ) โดยพิจารณาจากการประมาณการรายได้ รายจ่าย ดุลการคลัง หนี้สาธารณะ และนโยบายของรัฐบาล โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาวินัยทางการคลังของรัฐบาลให้มีความยั่งยืน ซึ่งในปัจจุบัน กระทรวงการคลังได้กำหนดกรอบความยั่งยืนทางการคลัง ดังนี้
-ยอดหนี้สาธารณะตามประเภทต่อ GDP ไม่เกิน ร้อยละ 50
-ภาระหนี้รัฐบาลต่องบประมาณไม่เกินร้อยละ 15
-สามารถทำงบสมดุลได้ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2548 เป็นต้นไป
-สัดส่วนงบลงทุนต่องบประมาณรายจ่ายไม่ต่ำกว่าร้อยละ
นอกจากนี้ ระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2549 กำหนดเกณฑ์ในการจัดทำแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณเพิ่มเติมว่า
ในส่วนของการกู้เงินจากต่างประเทศวงเงินกู้ตามแผนเมื่อรวมกับวงเงินที่คาดว่าจะกู้ใน 5 ปีถัดไปแล้ว สัดส่วนภาระหนี้ต่างประเทศต่อรายได้จากการส่งออกสินค้าและบริการ (Debt Service Ratio) ต้องมีอัตราโดยเฉลี่ยไม่เกินร้อยละ 9 สำหรับเกณฑ์มาตรฐานของธนาคารโลก สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP อยู่ที่ร้อยละ 80 และ Debt Service Ratio ของประเทศอยู่ที่ร้อยละ 25


+หนี้สาธารณะ (Public Debt) หมายถึงอะไร+
-หนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรง (Government Debt) ซึ่งมีผลผูกพันต่อรัฐบาลในการชำระคืนจากงบประมาณแผ่นดิน และเป็นภาระของประชาชนในฐานะผู้เสียภาษีอากร
-หนี้รัฐวิสาหกิจ คือเงินกู้ที่รัฐบาลค้ำประกัน หรือเงินกู้ที่รัฐบาลไม่ค้ำประกัน ซึ่งรัฐวิสาหกิจได้มีบทบาทในการก่อหนี้ เพื่อลงทุนในโครงการพื้นฐานเพื่อการพัฒนาประเทศ
-กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน คือเงินที่กู้เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่สถาบันการเงิน


+ทำไมสำนักบริหารหนี้สาธารณะจึงมีความสำคัญ?+
-สำนักบริหารหนี้สาธารณะเป็นผู้ดำเนินการเกี่ยวกับหนี้สาธารณะภายใต้กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นโยบายรัฐบาล และแผนงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
-สำนักบริหารหนี้สาธารณะสามารถกำหนดนโยบายและกระบวนการตัดสินใจเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ และความคล่องตัวในการดำเนินการด้านหนี้สาธารณะ
-สำนักบริหารหนี้สาธารณะเป็นผู้จัดทำแผนการก่อหนี้และบริหารหนี้ภาครัฐ ทั้งในระยะสั้น ระยะปานกลาง และยาว
-สำนักบริหารหนี้สาธารณะเป็นผู้พัฒนากลยุทธ์ในการก่อหนี้และบริหารหนี้สาธารณะ เพื่อลดต้นทุนการกู้เงินในระยะยาว และลดภาระงบประมาณแผ่นดินในการจัดสรรงบชำระหนี้ในแต่ละปีให้มีความสม่ำเสมอ (Bunching)
-เป็นผู้สร้างกลไกในการบริหารและจัดการเพื่อให้การดำเนินการก่อหนี้และบริหารหนี้ภาครัฐ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ มีความต่อเนื่องและทันต่อเหตุการณ์ มีความคล่องตัวโปร่งใส และสามารถ ตรวจสอบได้ทันท่วงที
-เป็นผู้ดูแลการดำเนินการก่อหนี้ ทั้งในส่วนของภาครัฐและเอกชนเป็นไปอย่างมีระบบและสอดคล้องกับความสามารถ ในการชำระหนี้
-เป็นผู้ส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุนและระบบการเงินโดยรวม


+ใครคือแหล่งเงินกู้ที่สำคัญของประเทศไทย? +
-ธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asia Development Bank /ADB)
-ธนาคารโลก (World Bank)
-ธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (Japan Bank for International Cooperation /JBIC)


+สถาบันการจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่สำคัญของประเทศไทยคือใคร? +
-Standard & Poor
-Moody's Investors Service
-Fitch IBCA
-Japan Rating and Investment Information (R&I)
-Thai Rating and Information Services (TRIS)


+โครงการลงทุนเพื่อสังคม (Social Investment Projects) คืออะไร? +
-โครงการลงทุนเพื่อสังคม (SIP) คือโครงการที่ดำเนินการโดยสำนักบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง ซึ่งมุ่งเน้นที่การคลี่คลายปัญหา พยุงฐานะ และช่วยเหลือผู้ตกงานภายในเวลา 4 ปี ภายหลังเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ


+ถ้าสนใจลงทุนในตลาดตราสารหนี้ไทยควรทราบเรื่องอะไรบ้าง+
-ตราสารหนี้ไทยหลัก ๆ มี 2 ชนิด ได้แก่ พันธบัตร และตั๋วเงินคลัง
พันธบัตร คือ ตราสารทางการเงินที่รัฐบาล รัฐวิสาหกิจ และสถาบันการเงินที่มีกฎหมายจัดตั้งขึ้นเป็นผู้ออก
โดยให้คำมั่นสัญญาว่าผู้ถือมีสิทธิที่จะได้รับชำระต้นเงินตามพันธบัตรคืนภายในกำหนดเวลา พร้อมด้วยดอกเบี้ย
ในอัตราที่กำหนด เราสามารถแบ่งชนิดของพันธบัตรตามลักษณะการถือกรรมสิทธิ์เป็น 3 ชนิด ได้แก่
(พันธบัตรชนิดจ่ายเงินแก่ผู้ถือ)
(พันธบัตรชนิดจดทะเบียน )
(พันธบัตรชนิดจดบัญชี )
-ตั๋วเงินคลัง คือ ตราสารทางการเงินระยะสั้นที่รัฐบาลเป็นผู้ออก จำหน่ายโดยวิธีประมูลและชำระเงินในราคาตราหักส่วนลด
เมื่อครบกำหนดผู้ถือกรรมสิทธิ์จะได้รับเงินเต็มจำนวนราคาตรา


+ระบบประมวลและติดตามโครงการเงินกู้จากต่างประเทศ (LP-MIS) คืออะไรและมีวัตถุประสงค์อะไร?+
-ระบบประมวลและติดตามโครงการเงินกู้จากต่างประเทศ (LP-MIS) คือระบบข้อมูลสารสนเทศบน Website ( www.osu-mof.org ) ที่พัฒนาโดยหน่วยติดตาม ประเมินผล และสนับสนุนโครงการเงินกู้จากต่างประเทศ (OSU)
สำนักบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง
ระบบ LP-MIS สามารถใช้เป็นเครื่องมือสำหรับเจ้าหน้าที่สำนักบริหารหนี้สาธารณะ และหน่วยดำเนินโครงการของส่วนราชการ และรัฐวิสาหกิจ เพื่อใช้ในการจัดการโครงการเงินกู้จากต่างประเทศ โดยระบบ LP-MIS จะแสดงข้อมูลล่าสุดของโครงการ และสถานะการใช้จ่ายเงินและประเมินผลการดำเนินโครงการโดนใช้ดัชนี